บทความ >> ทำไมต้องเรียนรู้ OSI Model❓ และ สรุปตำแหน่งงานที่ต้องรับผิดชอบแต่ละ Layer
ทำไมต้องเรียนรู้ OSI Model❓ และ สรุปตำแหน่งงานที่ต้องรับผิดชอบแต่ละ Layer
✅ เพื่อให้เข้าใจการทำงานของเครือข่ายทั้งระบบ
✅ เพื่อให้วิเคราะห์และแก้ไขปัญหาเครือข่ายได้ง่ายขึ้น
✅ เป็นความรู้พื้นฐานของมาตรฐานระบบเครือข่าย
✅ เพื่อใช้ในการออกแบบและวางโครงสร้างเครือข่าย
ในการติดต่อสื่อสารผ่านระบบ Network นั้น จะต้องมีตัวกลาง หรือ ค่ามาตรฐานกลาง ในการกำหนดรูปแบบการติดต่อสื่อสารกัน ตัวกลางในที่นี้ก็คือ OSI 7 Layers นั่นเอง นอกจากนี้ OSI 7 Layers ยังมีข้อดีอีกมากมาย เช่น ทำให้ง่ายต่อการเรียนรู้และการพัฒนา, ลดความซ้ำซ้อนในการทำงานของอุปกรณ์ Network แต่ละตัว, ทำให้การวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วขึ้น และ ยังทำให้ผู้ผลิตพัฒนาการทำงานใน Layer ที่ตัวเองถนัดได้อย่างเต็มที่ เป็นต้น
หลักการทำงานของแต่ละ Layer
Layer 1 : Physical Layer
หน้าที่ :
- กำหนดลักษณะทางกายภาพของสัญญาณที่ใช้ในการสื่อสาร เช่น ไฟฟ้า, แสง, คลื่นวิทยุ
- กำหนดประเภทของสายเคเบิล เช่น UTP, FTP, Fiber Optic
- กำหนดมาตรฐานการเชื่อมต่อ เช่น RJ-45, ST, SC, LC
- กำหนดมาตรฐานความเร็วในการติดต่อสื่อสาร เช่น 1000BASE-T
อุปกรณ์ที่ทำงานในชั้นนี้ :
เช่น Network Interface Card (NIC), สาย LAN
Layer 2 : Data Link Layer
หน้าที่ :
- แบ่งข้อมูลออกเป็น Frames
- จัดการ MAC Address (Media Access Control) เพื่อระบุอุปกรณ์ในเครือข่าย
- ตรวจจับข้อผิดพลาดในการรับส่งข้อมูล (Frame Check Sequence)
- ควบคุมการเข้าถึงสื่อกลางในการส่งข้อมูล เช่น Ethernet
อุปกรณ์ที่ทำงานในชั้นนี้ :
เช่น Ethernet Switch
Layer 3 : Network Layer
หน้าที่ :
- แบ่งข้อมูลออกเป็น Packets
- ใช้ IP Address ในการระบุอุปกรณ์บนเครือข่าย
- กำหนดเส้นทาง (Routing) ให้ข้อมูลไปถึงยังปลายทาง
- ทำงานร่วมกับโปรโตคอล IP (IPv4, IPv6)
อุปกรณ์ที่ทำงานในชั้นนี้ :
เช่น Router, Layer 3 Switch
Layer 4 : Transport Layer
หน้าที่ :
- แบ่งข้อมูลออกเป็น Segments และรวมข้อมูลที่รับมาให้ถูกต้อง
- ควบคุมการรับส่งข้อมูลให้ถูกต้องและครบถ้วน (Flow Control, Error Recovery)
- ใช้ TCP (Transmission Control Protocol) สำหรับการสื่อสารที่เชื่อถือได้
- ใช้ UDP (User Datagram Protocol) สำหรับการสื่อสารที่รวดเร็วแต่ไม่รับประกันความถูกต้อง
โปรโตคอลที่ทำงานในชั้นนี้ :
เช่น TCP, UDP
Layer 5 : Session Layer
หน้าที่ :
- จัดการการเปิดและปิดเซสชัน (Session) ในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์
- จัดระเบียบและประสานงานการแลกเปลี่ยนข้อมูล
- ตรวจสอบและกู้คืนการเชื่อมต่อหากเกิดข้อผิดพลาด
โปรโตคอลที่ทำงานในชั้นนี้ :
เช่น NetBIOS, SQL, RPC, SMB, NFS
Layer 6 : Presentation Layer
หน้าที่ :
- แปลงข้อมูลให้เป็นรูปแบบที่อุปกรณ์สามารถเข้าใจได้ (Data Encoding)
- บีบอัดข้อมูล (Compression) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งข้อมูล
- เข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูล (Encryption & Decryption) เช่น SSL/TLS
โปรโตคอลที่ทำงานในชั้นนี้:
เช่น ASCII, EBCDIC, TIFF, JPEG, GIF, MPEG, AVI, SSL, TLS
Layer 7 : Application Layer
หน้าที่ :
- เป็นหน้าอินเตอร์เฟซสำหรับผู้ใช้โดยตรง
- จัดการการโต้ตอบระหว่างแอปพลิเคชันและเครือข่าย
- ใช้โปรโตคอลที่เกี่ยวข้องกับบริการของผู้ใช้ เช่น HTTP, FTP, SMTP
โปรโตคอลที่ทำงานในชั้นนี้ :
เช่น HTTP, HTTPS, FTP, SMTP, POP3, IMAP4
ตำแหน่งงานที่ต้องรับผิดชอบแต่ละ Layer
1. Physical Layer
ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้อง :
- Network Technician – ติดตั้ง ดูแล และบำรุงรักษาสายเคเบิลและอุปกรณ์เครือข่าย
- Data Center Engineer – ดูแลโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น Server, Rack, UPS
- Telecommunications Engineer – ออกแบบและบำรุงรักษาระบบโทรคมนาคม เช่น Fiber Optic, Wireless
2. Data Link Layer
ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้อง :
- Network Administrator – ตั้งค่าและดูแลอุปกรณ์ Switch, VLAN, Spanning Tree
- Wireless Network Engineer – ดูแลระบบเครือข่ายไร้สาย (Wi-Fi, Access Point)
- NOC (Network Operations Center) Engineer – ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเครือข่ายระดับ Link Layer
3. Network Layer
ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้อง :
- Network Engineer – ออกแบบ ติดตั้ง และดูแลระบบ IP Addressing, Routing Protocols
- Security Engineer – จัดการ Firewall, VPN, Intrusion Prevention System (IPS)
- Cloud Network Engineer – ดูแลเครือข่ายบน Cloud เช่น AWS, Azure, GCP
4. Transport Layer
ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้อง :
- Systems Administrator – ดูแลการตั้งค่าพอร์ตและโปรโตคอล เช่น TCP, UDP
- DevOps Engineer – จัดการ Load Balancer, API Gateway
- Cybersecurity Analyst – วิเคราะห์และป้องกันการโจมตี เช่น TCP SYN Flood, DDoS
5. Session Layer
ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้อง :
- Application Support Engineer – แก้ไขปัญหา Session Timeout, Authentication
- Software Developer – จัดการ Session Management ใน Web Application
- Database Administrator (DBA) – ดูแล Session ใน Database เช่น Connection Pooling
6. Presentation Layer
ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้อง :
- Frontend Developer – จัดการการเข้ารหัส-ถอดรหัสข้อมูล เช่น JSON, XML
- Security Analyst – ดูแล Encryption/Decryption เช่น SSL/TLS
- Middleware Engineer – ดูแลการแปลงข้อมูลระหว่างระบบ เช่น API Gateway
7. Application Layer
ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้อง :
- Software Developer – พัฒนา Web/App ที่ทำงานผ่าน HTTP, FTP, SMTP
- System Architect – ออกแบบสถาปัตยกรรมของแอปพลิเคชัน
- IT Support – ดูแลการใช้งานแอปพลิเคชันและแก้ไขปัญหาให้ User
ตำแหน่งงานเหล่านี้สามารถมีความรับผิดชอบในหลาย Layer ได้ ขึ้นอยู่กับขอบเขตงานของแต่ละองค์กร